Change VS Transformation
ถ้าคุณเคยมีความสงสัยว่าทำไม? หลายครั้งที่เรามีความคิดที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง และได้เริ่มทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงนั้นแล้ว แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถรักษาการเปลี่ยนแปลงนั้นไว้ได้ดังที่ต้องการ วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องนี้ค่ะ
ก่อนอื่น มีคำ 2 คำที่อยากจะนำมาคุยกันเพื่อสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน

Change หรือ ในภาษาไทยเราใช้แทนความหมายของการเปลี่ยน
ยกตัวอย่างเช่น เปลี่ยนเส้นทางที่ต้องการเดินทาง เปลี่ยนเวลานอนหรือตื่นให้เป็นไปตามที่เราตั้งใจไว้ เป็นความต้องการเปลี่ยนจากสมอง จากการที่เราเริ่มต้นลงมือทำ (doing) เพื่อต้องการเปลี่ยนจากพฤติกรรมเดิมไปสู่พฤติกรรมใหม่ เป็นเหมือนความตั้งใจว่าควรจะเปลี่ยน ต้องเปลี่ยนได้แล้วนะ ตามความคิดที่คิดว่าเหมาะว่าควร ตามหลักการเหตุผลที่เห็นว่าถูกต้องในการเปลี่ยนนั้นๆ แต่หลายครั้งการเปลี่ยนนั้นก็ทำไปได้เพียงแค่ระยะเวลาหนึ่งก็กลับไปเป็นพฤติกรรมแบบเดิมๆ ได้อยู่ดี
อันนี้แหละที่เราเรียกว่า change หรือการเปลี่ยนการกระทำ (doing mode) เพื่อต้องการผลลัพธ์ให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมด้วยเหตุผล หลักการที่เห็นสมควร ไม่ใช่จากความรู้สึกที่ต้องการเปลี่ยนอย่างชัดเจนจากภายในจริงๆ ซึ่งทำให้การเปลี่ยนนั้นเป็นเพียงการต้องการสร้างนิสัยใหม่ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้อย่างแท้จริงเพราะเป็นเรื่องของเหตุผลที่ควรจะเป็นตามความคิดของสมองเพียงเท่านั้น
Transformation การเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยไม่สามารถกลับคืนไปเหมือนเดิมได้อีกต่อไป
เฉกเช่นการเปลี่ยนแปลงจากหนอนกลายไปเป็นผีเสื้อ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นมาจากภายในใจเราที่ไม่ต้องการเป็นในแบบเดิมที่เคยเป็นอีกต่อไปจริงๆ แบบว่าไม่สามารถรับการเป็นเดิมของตนเองได้อีกต่อไป จึงเป็นการเปลี่ยนที่สร้างการเป็น (being) ใหม่จากหัวใจ มาจากความรู้สึกไม่ใช่แค่เพียงเหตุผลที่ถูกไตร่ตรองจากสมองอีกต่อไป ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงแบบ Transformation นี้มีระยะเวลาและกระบวนการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นเรื่องของกฎธรรมชาติ และกฎของกระบวนการจึงทำให้เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วจะไม่สามารถคืนกลับไปเป็นเช่นเดิมได้อีกต่อไป เหมือนเราเพาะเมล็ดพันธุ์ลงดินให้เติบโตแล้วไม่สามารถคืนรูปต้นไม้นั้นให้กลับไปเป็นเมล็ดพันธุ์เช่นเดิมได้อีกนั่นเอง เป็นการเปลี่ยนรูปฟอร์มใหม่ในการเป็น (being) ไปตลอดกาล เปลี่ยนจากการเลือกด้วยหัวใจ

หลังจากเราได้รับรู้ความหมายของคำ 2 คำนี้แล้วมาดูกันว่าแล้วทำไม? เราถึงไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นคนที่อยากเป็นได้สักที มีอะไรที่เป็นอุปสรรคของการเปลี่ยนแปลงนั้นหรือ? แล้วเราจะมีวิธีใดบ้างที่จะทำให้เราเปลี่ยนไปเป็นคนที่อยากเป็นได้สักที
ขอยกตัวอย่างให้ได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ในการ Transform หรือการเปลี่ยนแปลงการเป็น (being) นั้นมีองค์ประกอบมากไปกว่าเพียงแค่หลักการจากความคิดว่าควรจะเปลี่ยน ดังนี้
ให้เรานึกย้อนไปที่เด็กแรกเกิดทุกสิ่งที่เด็กกินนั้นเป็นอาหารรสธรรมชาติ ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ลิ้นของเด็กน้อยยังไม่เคยรับรู้รสชาติของอาหารที่แตกต่าง และเมื่อค่อยๆ เติบโตขึ้น มีการป้อนอาหารที่แตกต่างรสชาติมากขึ้น ลิ้นซึ่งไม่เคยได้รับรู้รสอื่นๆ ก็เริ่มเรียนรู้และรับรู้ถึงรสชาติแปลกใหม่ ก่อให้เกิดความต้องการมากขึ้น อาหารรสชาติเดิมที่เคยคุ้นลิ้นเริ่มไม่เพียงพอ ต้องการรสชาติที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเราเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ลิ้นที่เราใช้ในการรับรู้รสเริ่มประมวลผลว่ารสชาติไหนที่ชอบ รสชาติไหนที่อร่อย แล้วก็เลือกกินในแบบที่ตนเองชอบเป็นความสุขใจกับการกินอาหารเพื่อใช้ชีวิตอยู่ นี่จึงเป็นสาเหตุหลักๆ ที่คนเราไม่สามารถกลับไปกินอาหารรสธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่งได้อีก เพราะเป็นเหมือนกิเลสได้จับกลืนกินเป็นความรู้สึกที่ฝังลึกในจิตใต้สำนึกไปแล้ว จึงมีการเลือกกินอาหารที่มีรสชาติต่างๆ แปลกไปจากรสชาติธรรมชาติในแบบเดิมๆ ทำให้หลายๆ คนที่ทั้งรู้ว่าอาหารคลีน อาหารที่ปรุงแต่งน้อยนั้นมีประโยชน์กับร่างกายมากกว่าแต่ก็ไม่สามารถกินได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง
ดังนั้นเพียงแค่การรับรู้ทางสมองของเราว่าสิ่งไหนดี เหมาะ ควรกับเราจึงไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนความต้องการที่ถูกฝังลึกมาจากจิตใต้สำนึกอย่างช้านาน รวมถึงความเชื่อที่ถูกส่งต่อมาจึงทำให้หลักการที่ดีดีตลอดจนเหตุผลที่ควรปรับเปลี่ยนตัวเองไม่สามารถทำงานได้อย่างตลอดรอดฝั่ง โดยเฉพาะหากเราต้องการเปลี่ยนเพียงเพื่อให้สังคมยอมรับ ต้องการเปลี่ยนจากคำแนะนำของคนอื่น หรือแม้ต้องการเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับสังคมที่เราเห็นว่าดี ก็ไม่อาจทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างยั่งยืนนั่นเอง
หลักๆ ของการที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างยั่งยืนนั้นมาจาก self love การไม่รักตัวเองมากพอ การที่ยังไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง หรือแม้แต่การรู้สึกผิดที่คิดว่าทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ จึงทำให้จิตใต้สำนึกเกิดแรงต้านขึ้น แต่หากเรามีความต้องการที่จะสร้างการเป็น (being) ใหม่จริงๆ ก็สามารถทำได้โดยให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“ทำไม? (Why) ทำไมเราถึงอยากเปลี่ยน”
- การเลือกที่จะเปลี่ยนที่มีเพียงเหตุผลนั้นไม่พอ ถ้าไม่เข้าใจถ่องแท้ถึงความต้องการเปลี่ยนแปลงของตัวเองจริงๆ มันก็เหมือนเราไม่ชัดเจนพอ เช่น เปลี่ยนเพราะคิดว่าควรจะเปลี่ยน น่าจะเปลี่ยน หรือถ้าเปลี่ยนแล้วสังคมจะยอมรับมากขึ้น อันนี้บอกเลยว่ายากที่จะรักษาการเปลี่ยนแปลงนั้นให้ยั่งยืน
- หรือ การเลือกที่จะเปลี่ยนนั้นมาจากหัวใจ มาจากความรู้สึกที่ไม่อาจทนอยู่ในสภาพเดิมๆ ที่เคยเป็นอีกต่อไป ซึ่งมันเหนือเหตุผลไปแล้ว มันเป็นการรับไม่ได้กับการเป็นเดิม และพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้น อย่างนี้ถึงจะสามารถเปลี่ยนการเป็น (being) ได้อย่างยั่งยืน
ดังนั้นหากต้องการจะเปลี่ยนแปลงให้มีการเป็นใหม่ที่ไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกต่อไป ให้ถามตัวเองให้แน่ใจว่า เป็นเพราะอะไร? ทำไม? ถึงต้องการเปลี่ยนแปลงเพือให้ได้คำตอบที่ชัดเจนจริงๆ

เมื่อได้รับคำตอบที่ชัดเจนแล้วขั้นตอนต่อไปของการเปลี่ยนแปลงในแบบ Transformation นั้นก็จะเริ่มต้นจาก
- ความชัดเจน
- ความปรารถนาจากหัวใจที่ต้องการจะเปลี่ยน โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมาสนับสนุนอีกต่อไป
- ความพร้อม พร้อมที่จะลงมือทำทุกอย่างที่จะสร้างการเป็นใหม่นั้นๆ
- การเตรียมตัว เพราะทุกอย่างมีขั้นตอน มีกระบวนการ
ทีนี้กับคำถามที่ว่า การเปลี่ยนนิสัย การเปลี่ยนการเป็น นั้นต้องทำต่อเนื่อง 21 วันใช่หรือไม่? ถึงจะสามารถสร้างนิสัยใหม่ได้ ตรงนี้ขอตอบเลยว่า ไม่มีใครรู้คำตอบนี้ ขึ้นอยู่กับคำถาม Why ที่ให้กับตัวเองในการเปลี่ยน ขึ้นอยู่กับความอยากมากพอหรือไม่? ขึ้นอยู่กับว่าคุณค่าของการเปลี่ยนนั้นมันมีค่าพอให้เปลี่ยนแปลงหรือเปล่า? ตรงนี้คนที่จะตอบได้ดีที่สุดก็คือตัวคนที่บอกว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงนั้นส่งผลกระทบเสมอ แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆ เกิดผลขึ้นทีละเล็กละน้อย อย่างเช่น การเกิดขึ้นของคลื่นสึนามิ ไม่ใช่ว่าเป็นการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกเพียงครั้งเดียว แต่เป็นการค่อยๆ ขยับปรับเปลี่ยนเล็กๆ ของพื้นผิวโลกจนสร้างความกระเพื่อมให้กระแสน้ำจนในที่สุดไม่อาจต้านทานได้จึงเกิดเป็นคลื่นสึนามิขึ้นมา ดังนั้นหลายคนที่เกิดความท้อแท้เมื่อไม่ได้เห็นผลลัพธ์ในระยะเวลาอันสั้นจึงล้มเลิกความตั้งใจเปลี่ยนไป ส่งผลให้สิ่งที่ได้ทำมาไร้ผลนั่นเอง จึงต้องถามตัวเองให้แน่ใจก่อน ให้ชัดเจนก่อน ว่าพร้อมจริงๆ หรือไม่ที่จะทำเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนั้นจริงๆ เพราะจะบอกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นมันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม สถานะของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ หากเราหยดน้ำลงในแก้ว น้ำหยดนั้นก็สามารถทำให้น้ำในแก้วเกิดผลกระทบในการกระเพื่อม หรือสั่นไหวได้ แต่ถ้าหยดน้ำเดียวกันเราไปหยดลงมหาสมุทรย่อมเกิดผลกระทบที่ต่างกันอยู่แล้วอย่างนี้เป็นต้น
สรุป คือ ถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ ให้ถามตัวเองด้วยคำถามที่ให้ไปข้างต้นนั่นคือ ทำไม? ถึงต้องการเปลี่ยน ให้ได้คำตอบที่มาจากหัวใจ และเมื่อได้คำตอบนั้นมาแล้ว ทำให้ชัดเจนกับความปรารถนาที่ต้องการเปลี่ยนนั้น ถามตัวเองให้ได้คำตอบที่แท้จริงว่าพร้อมหรือไม่? และเตรียมตัวเพื่อจะไปกับกระบวนการทางธรรมชาติที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นเพียงใด นั่นก็จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ด้วยการ transformation ได้แน่นอน
– เรียบเรียงโดย ศุภานัน วงศ์รสิกา –
– ภาพประกอบ และ สร้างเพจโดย วรันธร ดีทัพไทย –
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ
Facebook Group : https://web.facebook.com/groups/iseeyouweseeyou
Facebook Fanpage : https://web.facebook.com/VirinaMethod