What stops you for having a good life
What stops you for having a good life อะไรเป็นสิ่งที่ดึงเราไว้ ทำให้เราไม่สามารถได้ในสิ่งที่ต้องการ
อะไรเป็นสิ่งที่ดึงเราไว้ ทำให้เราไม่สามารถได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น “ความรัก” “ความสำเร็จ” “เงินทอง” “อาชีพ” และ “สุขภาพ”
ข้อควรจดจำในประเด็นหลัก คือ ทางออกจากสิ่งกีดขวางทั้งมวลนี้ เราต้องเป็นคนที่เลือกกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางเองเท่านั้น เราจึงจะผ่านไปได้
มาเริ่มต้นกันตรงที่การทำงานของกฎแห่งจักรวาลนั้น เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของคนเราทั้งเรื่องสุขภาพ เงินทอง และความรักเสมอ

ก่อนอื่นเรามาเริ่มต้นด้วยการนิ่งๆ สักพัก เพื่อให้ได้สัมผัสกับตัวเองว่า ในชีวิตเรา ณ. ขณะนี้นั้นยังมีความรู้สึกขาดอยู่หรือไม่? ยังมีความอยากได้อยู่หรือไม่? ซึ่งก็จะแบ่งเป็น 2 แบบนะ คือ
- เป็นความรู้สึกที่ขาดและเกิดความอยากได้มาก เสมือนกับโหมดของการอยู่รอด (survival) ไม่มีไม่ได้
- หรืออีกแบบ เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้ขาด แต่มีความอยากได้ ซึ่งตั้งอยู่บนความสุข ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้อย่างที่อยากได้ก็ตาม
คนส่วนใหญ่เมื่อถูกถามว่า ชีวิตนี้ต้องการอะไร? มักจะให้คำตอบที่ชัดเจนกับคำถามนั้นไม่ค่อยได้ หลายคนก็ตอบว่า “เงิน” ซึ่งก็ไม่ใช่ซะทีเดียวเพราะเมื่อเขามีเงินก็ยังคงรู้สึกขาดอยู่ดี หรือบางทีก็ได้คำตอบว่า “ความรัก” บ้าง อยากมี “คู่ครองที่ดี” บ้าง แต่ก็ยังเป็นเพียงความต้องการที่ไม่สามารถระบุชัดเจน แต่ที่แน่ๆ ทั้งหมดมักจะให้คำตอบว่า “อยากได้ความสุข” ทีนี้เรามาดูกันว่า “ความสุข”ที่อยากได้นั้น รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกัน?
เวลาที่เราคิดถึง “ความสุข” ในใจเรานั้นคิดถึงอะไร? ความสุขในความหมายของเรานั้นหมายถึงอะไร? ลักษณะของความสุขนั้นเป็นอย่างไรในรูปแบบที่เราต้องการกันแน่
จะบอกว่า “ความสุข” ก็คือ “อารมณ์” ในรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นก็จะเป็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเฉกเช่นเดียวกันกับพลังงานอื่นๆ เช่นกัน อย่างเช่นเราได้ไปเที่ยวสถานที่ที่ชอบ รู้สึกสบายใจ มีอารมณ์สุนทรี มีความสุข แต่กลับมาเจอกับสภาพแวดล้อมเดิมๆ ก็หมดความสุขไป เกิดเป็นอารมณ์ไม่สุขมาแทนที่ประมาณนั้น
ดังนั้น “อารมณ์ทุกข์” ก็เป็นเช่นเดียวกัน คือ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปได้เช่นเดียวกับความสุข แต่คนส่วนใหญ่มักจะเลือกให้อารมณ์แห่งความทุกข์นั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ โดยไม่ยอมให้ดับไป ทั้งๆ ที่เราเองนั้นสามารถเลือกหยิบเอาอารมณ์แห่งความสุขขึ้นมาทดแทนได้เมื่อถูกอารมณ์ของความทุกข์นั้นเข้ามาเยือ
เนื่องจากเรายังเป็นคน เป็นมนุษย์ เป็นพลังงาน เราจึงมักจะเอาอารมณ์ต่างๆ มาถือไว้ ทั้งความทุกข์ ความเศร้า ความหดหู่ ทีนี้จะเป็นไปได้หรือไม่? หากเมื่อไหร่ที่เรานั้นถูกอารมณ์แห่งความทุกข์เข้ามารุมเร้า แล้วเราเลือกที่จะหันเหตัวเองไปมองหาสิ่งบันเทิง สิ่งที่สร้างอารมณ์สุข เช่น การเลือกฟังเพลงที่ชอบ การดูหรือนึกถึงภาพที่เคยทำให้เรามีความสุข แล้วดึงกลับมาเพื่อเลือกสร้างอารมณ์แห่งความสุขขึ้นมาทดแทนได้หรือไม่? รวมถึงการที่เราจะหาวิธีที่เลือกให้ตัวเองมีความสุขในชีวิตได้ ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้เงินเท่าที่ต้องการ หรือ ยังไม่มีคู่ครองอย่างที่ใจนึกปรารถนา อันนี้ฝากไว้ให้คิดกัน

อย่างที่บอกว่าคนเราเป็นมนุษย์เหตุผล ที่มักจะหาเหตุผลมาสนับสนุนมาทำให้ตัวเองและคนอื่นเชื่อในสิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องจริงได้ ในหลายครั้งเราเองเลือกสร้างเหตุผลที่เป็นเหตุทำให้เกิดความทุกข์ โน้มน้าวให้ตนเองเชื่อในเหตุผลนั้นๆ จนหล่อหลอมให้ความทุกข์นั้นเสมือนจริง ประหนึ่งว่าเป็นจริงดังนั้นอย่างแน่นอน

ตัวอย่างเรื่องของเงิน
มีผู้บริหารคนหนึ่ง ตกงานในสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ เงินทองที่เก็บไว้ก็กำลังหมดลง จึงร่อนใบสมัครงานไปทั่ว และพยายามหางานในตำแหน่งเดิมที่ตัวเองคุ้นชิน แต่ก็ยังไม่ได้งานสักที
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ผู้บริหารคนนี้สร้างข้อจำกัดใหักับตัวเองว่า การหางานในตำแหน่งเดิมนั้นเป็นวิธีเดียวที่จะหาเงินได้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงยังมีอีกตั้งหลายหนทางที่จะสร้างรายได้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดิมตามประสบการณ์ที่เขาเคยมีมา แต่เนื่องจากเขาติดอยู่ใน comfort zone ที่ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ จึงไม่ได้คิดต่าง หาหนทางที่แตกต่างในการสร้างรายได้นั่นเอง เพราะไม่แน่ว่าเพียงแค่เขาหันไปทำการเกษตร หรือค้าขาย online บางทีอาจจะสร้างรายได้ให้เขามากกว่าเงินเดือนประจำที่เขาเคยได้รับก็ได้ เพียงแต่เขาไม่ได้เปิดโอกาสให้ตัวเองมองในมุมที่แตกต่างจากเดิมเท่านั้นเอง
หรือแม้แต่การเลือกที่จะมีเงินเพิ่ม เช่น ถ้าเราทำงานประจำอยู่แล้วต้องการจะมีรายได้มากขึ้น ได้ลองมองหา ลองคิดในมุมต่างดูว่า เราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง? เพื่อจะสามารถต่อยอดเงินรายได้ให้มากขึ้นได้อีก ลองถามตัวเราเองนะว่าได้เปิดหูเปิดตา เปิดรับสิ่งใหม่ๆ บ้างหรือไม่? ว่าโลกหรือเทรนในยุคนี้เขาสนใจอะไรกันบ้าง? โดยเฉพาะคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่จะไม่ค่อยยอมปรับตัวและหาเหตุผลมาอ้างเพื่อสนับสนุนตัวเองให้ปิดกั้นโอกาสไป เช่น เป็นคนอายุเยอะแล้วไม่ค่อยทันเทคโนโลยี ไม่ถนัดงาน on line อยากจะบอกไว้ตรงนี้เลยว่าคนเรานั้นสามารถปรับตัวได้ เรียนรู้ได้ เพียงแค่เลือก! เมื่อเลือกแล้วก็เริ่มต้นปรับเปลี่ยน ดังนั้นก่อนที่จะพูดว่า “ทำไม่ได้” ให้ถามตัวเองให้ดีก่อนว่าได้ “เลือก” หรือยัง? อย่าเพิ่งบอกกับตัวเองว่าทำไม่ได้ ถ้ายัง “ไม่ได้ทำ” เลือกอย่างชัดเจนไปเลยว่า อยากจะมีเงินเพิ่มเท่าไหร่? ระบุออกมาให้ชัดเจน แล้วหาแผนสร้างเงินนั้นขึ้นมาเพื่อลงมือทำ!
ในแง่ของพลังงาน เป็นเรื่องของความเป็นจริงว่า เป็นเพราะเรานั่นเองแหละที่ “ไม่เลือก” “เลือกไม่ได้” หรือ “ไม่ยอมเลือก” ซึ่งในความหมายนี้ก็คือ
“การที่เราทำไม่ได้ มาจาก การที่เราไม่เลือกที่จะทำ นั่นเอง!”
นอกจากเรื่องเงินแล้ว ก็มาเรื่อง “คู่ครอง” ซึ่งต้องบอกก่อนว่าในกฎของแรงดึงดูดจากเรื่องราวของ The Secret นั้นที่บอกไว้ว่าให้นั่งคิด จินตนาการแล้วจะสามารถดึงดูดคู่ครองเข้ามาได้ ก็เป็นเรื่องจริงแต่จริงเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากในเรื่องของการดึงดูดคู่ครอง “คนที่ใช่” เข้ามาในชีวิต จำเป็นต้องมีการเคลียพื้นที่เพื่อเปิดรับด้วย ต้องมีการเคลีย block ก่อนรวมทั้งปมต่างๆ ของชีวิตที่ทำให้คู่ครองคนที่ใช่ไม่สามารถเข้ามาในชีวิตของเราได้สักที และที่สำคัญตัวเราเองก็ต้องมี action เพื่อสร้างโอกาส เปิดโอกาสให้คู่ครองคนนั้นเข้ามาในชีวิตเราได้ด้วย แบบว่าถ้าต้องการคู่แต่ไม่เคยออกไปไหนเลยแล้วคนที่ใช่คนนั้นจะเข้ามาทำความรู้จักกับเราได้อย่างไร? ก็ต้องมีการออกไปข้างนอกบ้าง แต่งหน้าแต่งตัว มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตที่เสมือนว่ากำลังจะได้เจอกับคนที่ใช่แล้ว เพื่อเป็นการบอกกับจักรวาลไปว่า “เราพร้อมแล้ว!” พร้อมที่จะเปิดรับคู่ครองคนที่ใช่เข้ามาในชีวิตแล้ว นั่นแหละ กฎแรงดึงดูดก็จะพร้อมทำงานอย่างเต็มที่

แต่ก็มีบางคนนะที่ใช้กฎแรงดึงดูดในแบบที่อยากได้มาก กลายเป็นความอยากที่มาจากความขาดแคลน ก็ส่งคลื่นพลังงานความขาดนั้นไปดึงดูดคนที่ขาดเหมือนๆ กันเข้ามาเป็นคู่ก็มี เพราะจูนพลังงานตรงกันให้คนขาดกับคนขาดมาเจอกัน ต่างมาเติมเต็มให้กันและกัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ด้วยกันได้ไม่นานเพราะเป็นพลังงานต่ำเป็นคลื่นความถี่ของความขาดแคลน เมื่อมาอยู่ด้วยกันต่างคนต่างขาด มาเติมเต็มให้กันได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็จะรู้สึกว่า อืมม์ คนนี้ไม่ใช่! ล่ะเป็นอย่างนั้นไป
ดังนั้นในการใช้กฎแรงดึงดูด ต้องมีการลงมือทำบางสิ่งบางอย่างที่สอดคล้องกันเพื่อให้จักรวาลได้รับรู้และส่งสิ่งที่เราต้องการเข้ามาได้อย่างง่ายดาย เช่น เราอาจจะนั่งสมาธิ หรือ อาจจะสร้างสรรค์งานศิลปะที่ชอบเพื่อเป็นการสร้างพื้นที่แห่งความเติมเต็มความสุขให้เกิดขึ้นและส่งคลื่นความถี่ไปยังจักรวาลว่าเราพร้อมที่จะรับความสุขเพิ่มขึ้นแล้วอะไรแบบนี้
ทีนี้พูดถึงเรื่องการนั่งสมาธิ ต้องขอบอกเลยว่า การนั่งสมาธิโดยที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายใดๆ เลยนั้นเป็นการเสียเวลาเปล่า ที่บอกแบบนี้เพราะว่า หลายคนเข้าใจว่าแค่นั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้า-ออก นั้นเป็นการช่วยให้คลื่นความถี่ของเราดีขึ้นไม่ได้เป็นแบบนั้น การนั่งสมาธิที่จะให้ได้ผลลัพธ์นั้นควรจะต้องกำหนดความต้องการของตัวเองให้ชัดเจนว่า จะทำสมาธินั้นเพื่ออะไร? จับตัวเองให้ทันว่าสิ่งไหนคือความต้องการที่แท้จริงในการที่จะนั่งสมาธินั้นๆ

ซึ่งทางออกที่เรียบง่ายมากสำหรับการนั่งสมาธิ หรือการทำสมาธิเพื่อให้เกิดผลลัพธ์นั้น ก็คือ ให้จับตัวเองให้ทันในทุกขณะ เช่น ถ้ากำลังหายใจ ให้รู้ว่ากำลังหายใจเข้าลึก หรือไม่ลึก ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แล้วจับความรู้สึกให้ได้ว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร? มีความสุขหรือไม่? หรือเมื่อมีอารมณ์ใดๆ ก็ตามเกิดขึ้นให้ระลึกรู้ว่าขณะนี้ อารมณ์นั้นกำลังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือ ดับไปหรือไม่? เกิดจากเหตุใด ที่มาของอารมณ์นั้นอยู่ตรงไหน?
ต้องบอกให้รู้กันตรงนี้ว่า “อารมณ์” เป็นเรื่องธรรมชาติ และเราก็สามารถเลือกได้ว่าจะเลือกเอาอารมณ์ไหนให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้งนี้เพราะเราเองยังมีประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการรับรู้ความรู้สึกต่างๆ ก็ยังคงต้องรับรู้และต้องมีอารมณ์อยู่ตลอดเวลานั่นเอง
ทีนี้มาคุยกันในเรื่องของ “สุขภาพ” บ้าง อันที่จริงก็จะมีบางส่วนที่เป็นเรื่องของพลังงาน เรื่องของอารมณ์ที่ส่งผลกับสุขภาพของเราด้วย แต่ในทีนี้ขอพูดถึงเฉพาะเรื่องของอาหารแล้วกัน คนส่วนใหญ่ทุกวันนี้มีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ ที่ส่งผลกับสุขภาพโดยตรง ก็คือ เรื่องความเครียด และ การเลือกกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
หลายๆ คนก็รู้นะว่าควรกินอะไร? และอะไรไม่ควรกิน หรือควรจะเลือกกินอะไรดี? แต่ก็ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมในการเลือกกินของที่มีประโยชน์ อันเนื่องมาจากติดใจในรสชาติของอาหารที่ไม่มีประโยชน์เหล่านั้นเสียจนไม่อยากเปลี่ยนแปลงนั่นเอง เรียกว่าทั้งๆที่รู้แต่ก็ไม่เลือก! อย่างเช่น ผงชูรส ทุกคนก็รู้ว่าไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ก็เลิกไม่ได้ เพราะติดใจในรสชาติ อยากจะบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ผงชูรส นั่นก็คือ ยาพิษ ที่เราใส่ให้ตัวเองทุกๆ ครั้งที่เรากินนั่นเอง ก็อยากจะฝากไว้ให้เปลี่ยนมากินเป็นสมุนไพรดู เพราะถ้าใครที่เคยได้กินสมุนไพรก็จะรู้ได้ว่ารสชาตินั้นดีไม่แพ้กับอาหารที่ใส่ผงชูรสเลยเช่นกัน เพียงแต่เราไม่คุ้นเคยเท่านั้นเอง
ที่ต้องย้ำกันเรื่องส่วนผสมของอาหารนี้เป็นเพราะเมื่อสุขภาพไม่ดี ยังไงอารมณ์ของเราจะดีไปได้อย่างไร? ถ้าต้องการเป็นคนสุขภาพดีก็ต้องเลือกรับประทานอาหารที่ดี และไม่เครียด
สุดท้ายนี้ ต้องถามตัวเองนะว่า “ต้องการเปลี่ยนจริงหรือไม่?” เพราะ “การกระทำ ย่อมส่งเสียงดังกว่า คำพูด เสมอ”
การเลือกที่จะเปลี่ยนตัวเองจำเป็นต้องมีการลงมือทำ เช่น อยากมีเงิน แต่ยังเลือกอยู่ใน comfort zone ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าเปลี่ยน หรือเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง ก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้! ซึ่งในการกระทำนั้นเราต้องทำไปด้วยแรงบันดาลใจ จากความสุขหากเมื่อได้เปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นด้วย ไม่ใช่เป็นการตั้งหน้าตั้งตาลงมือทำ ทำ ทำ แต่ไม่ได้มีความรู้สึกอิ่มเอมกับการที่จะเปลี่ยนแปลงนั่นก็เปล่าประโยชน์
ขอฝากไว้ว่า
“ชีวิต คือ การเดินทาง” ไม่ใช่ “จุดหมายปลายทาง”
ดังนั้นถ้าเราเลือกที่จะมีความสุขกับการเดินทาง มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตตลอดเส้นทาง เพียงพริบตาเดียวเราก็จะถึงจุดหมายปลายทางอย่างมีความสุข ความอุดมสมบูรณ์ได้อย่างง่ายดาย
– เรียบเรียงโดย ศุภานัน วงศ์รสิกา –
– ภาพประกอบ และ สร้างเพจโดย วรันธร ดีทัพไทย –
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ
Facebook Group : https://web.facebook.com/groups/iseeyouweseeyou
Facebook Fanpage : https://web.facebook.com/VirinaMethod